อาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลัง คืออาการปวดที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง เอว ซึ่งจะมีกระดูกสันหลังเชื่อมต่อกับกระดูกเชิงกราน เพื่อรับน้ําหนักของร่างกายส่วนบน ถ้ามีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือปวดเมื่อยอย่างรุนแรงก็สามารถ ขยายไปที่สะโพก บั้นท้าย หรือขาได้
อาการปวดหลังไม่ได้เป็นสาเหตุที่ร้ายแรงเสมอไป และมักจะดีขึ้นเองหรือด้วยการเปลี่ยนวิถีชีวิต แต่ในบางครั้ง อาการปวดหลังก็สามารถมีอาการเรื้อรังได้ ซึ่งใช้เวลากว่าจะหาย และอาจจําเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
Table of Contents
Toggleกายวิภาคของเส้นประสาทไขสันหลัง
เส้นประสาทไขสันหลังเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบประสาท มีหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างไขสันหลัง และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นประสาทเหล่านี้โผล่ออกมาจากไขสันหลังผ่านช่องเปิดระหว่างกระดูกสันหลัง หรือที่เรียกว่า intervertebral foramina
โดยทั่วไปแล้วเส้นประสาทไขสันจะเป็นเส้นประสาทหลักของร่างกาย มีเส้นประสาทไขสันหลังสมมาตรทั้งหมด 31 คู่ที่โผล่ออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของกระดูกสันหลัง เส้นประสาทไขสันหลังแต่ละเส้นมีทั้งเส้นใยประสาทสัมผัส เส้นประสาทการเคลื่อนไหว (movement) และเส้นประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous ) เชื่อมกันอยู่ระหว่างไขสันหลัง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
เพราะเหตุนี้เองถึงมีอาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลัง
ด้วยความที่เส้นประสาทไขสันหลังนั้นมีกิ่งก้าน ประสาทสัมผัสมากมาย และเป็นเส้นประสาทหลักของร่างกาย ซึ่งเส้นประสาทไขสันหลังแต่ละเส้นนั้นทำหน้าที่เชื่อมโยงต่างๆอยู่บนร่างกาย แต่เมื่อเส้นประสาทไขสันหลังบางเส้นบกพร่อง ทำให้เกิดอาการปวดหลังต่างๆ ตามมานั้นเอง
คนที่มีอาการปวดหลังแนวโน้มจะเป็นอย่างไร
คนส่วนใหญ่ที่มีอาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลัง ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต และอายุด้วย เพราะบางคนอาจหายดีใช้เวลาไม่นานก็หายสนิท แต่หลายคนอาจก็อาจมีอาการกลับมาใหม่ภายในไม่ถึงปี
บางคนอาจมีอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง(Chronic low back pain) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายเดือน และอาจมีอาการปวดเป็นระยะๆ หรือมีอาการปวดที่ธรรมดา และมีอาการปวดมากไปจนถึงปวดอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำๆ ในระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงผู้สูงอายุอาจมีภาวะการเสื่อม เช่นไขข้ออักเสบ โรคกระดูกพรุน อาจมีอาการแย่ลงไปกว่านั้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นแล้วควรปรึกษาแพทย์ไว้ดีที่สุด
อาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลังเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- ปัญหาของกระดูกสันหลัง เช่น โรคข้อสันหลังอักเสบ (Spondylosis) หรือโรคข้อสันหลังกลาง (Spondylolisthesis) ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตของกระดูกหรือการเคลื่อนที่ของกระดูกที่เกิดขึ้นในส่วนของสันหลัง
- การบาดเจ็บของเส้นประสาทไขสันหลัง ตรงบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากการอักเสบ หากยืดกล้ามเนื้อหลังมากเกินไป อาจทำให้เอ็นฉีก และอาจมีอาการบวม ซึ่งจะทำให้มีการเคลื่อนไหวได้จํากัด นอกจากนี้บางครั้งอาจมีอาการกระตุกร่วมด้วยเนื่องจากกล้ามเนื้อในบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บถูกตรึง
- การนอนหรือทำกิจกรรมต่างๆ การนอนหรือทำกิจกรรมในท่าที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดการคอ รวมถึงอาการปวดหลังได้
- ไลฟ์สไตล์: อาการปวดหลังพบได้บ่อยในผู้ที่มีวิถีชีวิตการทำงาน เช่น นั่งที่โต๊ะทํางานนานเกินไป ผู้ที่มีน้ําหนักเกิน หรืองานที่ต้องยกของหนัก ทำให้การเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังโดยเฉพาะอาจส่งผลต่อสุขภาพหลังได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดหลังได้อีกด้วย
- หมอนรองกระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกทำหน้าที่คั่นกลางระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้นเมื่อกระดูกสันหลังเกิดอาการกระทบกระเทือนมากเกินไป หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม ก็ทำให้มีอาการปวด ชา แสบร้อน และอาการบาดเจ็บตามมา
- อาการปวดเส้นประสาท (สะโพก) เส้นประสาทสะโพกเริ่มต้นที่บริเวณหลังส่วนล่าง และเชื่อมลงมาที่ด้านหลังของขาแต่ละข้าง แรงกดบนรากประสาท (ส่วนมากมักมาจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน) สามารถนําไปสู่อาการปวด บางครั้งก็รุนแรงได้ และอาการอื่นๆ ในร่างกายส่วนล่างลงมา ได้แก่ อาการปวดหลังส่วนล่างที่แผ่กระจายไปยังสะโพก และอาการปวดหลังที่ร้าวลงขา อาการชาที่ก้น และขา
การฟื้นฟูสมรรถภาพ
ส่วนใหญ่แล้ว เส้นประสาทไขสันหลังบกพร่องสามารถรักษาได้ ซึ่งการอักเสบที่ไม่รุนแรงมักจะสามารถจัดการได้ด้วยยาต้านการอักเสบ และความเจ็บปวดมักจะสามารถบรรเทาลงได้ด้วยยาแก้ปวด กายภาพบําบัด และการออกกําลังกายสามารถช่วยบรรเทาความเครียดตึง ของกล้ามเนื้อได้
ความเสียหายของเส้นประสาททําให้เกิดการสูญเสียประสาทสัมผัสหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจเป็นผลมาจากการบาดเจ็บที่เส้นประสาทไขสันหลัง เส้นประสาทมีโอกาสฟื้นตัวได้น้อยหากถูกตัด โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนําให้ทำกายภาพบําบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานโดยการเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทให้แข็งแรง การผ่าตัดซ่อมแซมเส้นประสาทไขสันหลังเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนสูง
อาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลัง: ระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
อาการปวดหลังสามารถส่งผลกระทบต่อทุกคนโดยไม่คํานึงถึงอายุหรือเพศ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะมีอาการปวดหลังส่วนล่างได้บ่อยกว่าเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปยี
สาเหตุอาการปวดหลังส่วนล่างที่พบบ่อยในผู้หญิง ได้แก่:
- กลุ่มอาการก่อนมีประจําเดือน (PMS)
- การตั้งครรภ์
- กล้ามเนื้อตึงเครียด
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิด
- ประจําเดือน
- โรค dysmorphic ก่อนมีประจําเดือน (PMDD)
การวินิจฉัยอาการปวดหลังส่วนล่างเป็นอย่างไร?
การวินิจฉัยอาการปวดหลังส่วนล่างมักจะเริ่มด้วยการประเมินอาการ สอบถามเกี่ยวกับประวัติการเจ็บปวดเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นจะมีการวินิฉัยเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
- เอ็กซเรย์
- CT scan การทดสอบภาพที่ใช้ X-rays และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพในแนวระนาบต่างๆ ของร่างกาย โดย CT scan จะแสดงภาพโดยละเอียดของส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย รวมถึงกระดูก และจะมีรายละเอียดมากกว่า X-rays ทั่วไป
- MRI เป็นการทดสอบที่ใช้แม่เหล็กขนาดใหญ่ และคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพรายละเอียดของอวัยวะ และโครงสร้างในร่างกาย
- Electromyography (EMG) เพื่อทดสอบเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ และตรวจสอบ
แนะนำวิธีรักษาอาการปวดหลังตามแนวกระดูกให้ได้ผล
1.กายภาพบําบัด
แพทย์จะแนะนำการทำกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัดจะกำหนดท่าที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้สามารถรองรับกระดูกสันหลังได้ นอกจากนี้การทำกายภาพบำบัดยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
2.การฉีด
แพทย์จะฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่เกิดอาการปวด เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการปวด และลดการอักเสบ
3.รักษาด้วยยาต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
การทานยาตามคำแนะนำของเเพทย์จะเป็นผลดีต่อร่างกายตัวเอง เพราะแพทย์จะทำการวินิฉัยอาการก่อนที่จะให้ยาเสมอ เพราะยาบางการที่ใช้มากเกินไปอาจทําให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นแล้วควรปรึกษาแพทย์จะดีกว่าซื้อมากินเอง
4.การผ่าตัด
การบาดเจ็บที่มีอาการหนัก อาจจะต้องใช้การผ่าตัดเข้าช่วย เพื่อช่วยอาการปวดหลังส่วนล่างให้ดียิ่งขึ้น
5.รักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า PMS
หรือ Peripheral Magnetic Stimulation เป็นการกระตุ้นระบบประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูง ส่งผ่านเสื้อผ้าลงไปจนถึงเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ หรือกระดูกที่บาดเจ็บ ซึ่งอยู่ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร และเป็นบริเวณที่การนวดตัวไม่สามารถช่วยได้ เพื่อกระตุ้นให้มีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น และบรรเทาอาการปวดลงอย่างรวดเร็ว
6.เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Technique)
เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Technique) คือ การรักษาแบบหัตถการโดยการใช้มือ ดึง ดัด จัดกระดูก และข้อต่อต่าง ๆ เพื่อปรับโครงสร้างร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
7.การทำกายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก หรือ เครื่องช็อคเวฟ (Shock Wave)
กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก เป็นการส่งคลื่นกระแทกที่เกิดจากแรงอัดอากาศปริมาณสูงไปยังบริเวณที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีก้อนกล้ามเนื้อ และพังผืดที่แข็งเกร็ง โดยคลื่นกระแทกจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อ เกิดกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นใหม่อีกครั้ง พร้อม ๆ กับลดปริมาณของสารสื่อประสาทที่ส่งสัญญาณเจ็บปวด
8.การรักษาด้วยไคโรแพรคติก (Chiropractic)
การรักษาด้วย หรือที่เรียกว่าการจัดกระดูก ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม สามารถช่วยปรับกระดูกสันหลังใหม่ บรรเทาแรงกดบนเส้นประสาท และลดอาการปวด
9.รักษาด้วยโปรแกรมออกกำลังกายเฉพาะบุคคล โดยนักกายภาพบำบัด
เป็นการวินิฉัยจุดบกพร่องของร่างกาย และวางแผนการออกกำลังกายแต่ละบุคคลให้อย่างเหมาะสม ที่สามรถปรึกษาแพทย์ และนักกายภาพบำบัดอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเวทเทรนนิ่ง คาร์ดิโอ
หากคุณไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญอยู่กับอาการปวดหลังตามแนวกระดูกสันหลังอยู่ อย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนัก สามารถนัดหมาย หรือเข้ามาปรึกษาแพทย์ ได้ที่ thecommonsclinic.com ได้เลย
The Commons Clinic เรามีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญาให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง Shock Wave หรือ เครื่อง PMS มีการตรวจประเมินร่างกายและวางแผนรักษาเฉพาะบุคคลก่อนทุกครั้ง มั่นใจได้เลยว่า จะช่วยให้อาการปวดของคุณดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :
- ที่ตั้ง : 388 ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 (https://goo.gl/maps/sbT1J8wUKgy4mQPF8)
- เวลาทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 น. – 19.00 น.
- เบอร์โทรศัพท์ : 094-694-9563
- Line OA : @thecommonsclinic
- Facebook : The Commons Clinic – คลินิกเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กายภาพบำบัด
ขอบคุณข้อมูลจาก : Webmd, Mayo clinic health system