หมอนรองกระดูกคอเสื่อม อาการปวดคอที่ไม่ควรมองข้าม

หมอนรองกระดูกคอเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ในปัจจุบันพบว่าอัตราการเกิดโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่มีพฤติกรรมก้มหน้าใช้สมาร์ตโฟนติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะหมอนรองกระดูกคอเสื่อมก่อนวัยอันควรได้เช่นกัน คลินิกกายภาพบำบัด เดอะคอมมอนส์คลินิก (The Commons Clinic) จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมว่ามีความรุนแรงอย่างไรบ้าง 

หน้าที่และความสำคัญของกระดูกคอ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระดูกคอปกติกันก่อน โครงสร้างสำคัญที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักศีรษะ และช่วยในการเคลื่อนไหวของคอ ประกอบด้วยกระดูกคอ 7 ชิ้น ทางการแพทย์จะเรียกว่า Cervical Spine (C1-C7) เรียงต่อกันเป็นแนวกระดูกสันหลังส่วนคอ เริ่มจากกระดูกคอชิ้นแรก (C1) ที่เชื่อมต่อกับฐานกะโหลกศีรษะ ไล่เรียงลงมาจนถึงชิ้นสุดท้าย (C7) ที่เชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังส่วนอก

ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้น จะมีหมอนรองกระดูกทำหน้าที่เป็นตัวกันกระแทกและช่วยในการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังมีเส้นประสาทและหลอดเลือดสำคัญผ่านบริเวณนี้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย การทำงานของกระดูกคอที่ผิดปกติจึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก

หมอนรองกระดูกคอเสื่อมคืออะไร

หมอนรองกระดูกคอเสื่อมเกิดจากการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างกระดูกคอแต่ละชิ้น โดยส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมักเกิดขึ้นบริเวณกระดูกคอปล้องที่ 5 ต่อ 6 และปล้องที่ 6 ต่อ 7 มากที่สุด โดยปกติหมอนรองกระดูกจะมีลักษณะคล้ายเจลนุ่มๆ ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกคอเคลื่อนไหวได้อย่างนุ่มนวล แต่เมื่อเกิดการเสื่อมสภาพ หมอนรองกระดูกจะแข็งตัว แบนลง หรือยื่นออกมากดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาทเลี้ยง

กลุ่มเสี่ยงที่มักพบปัญหาหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม ได้แก่

  • พนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
  • ผู้ที่ต้องก้มหน้าใช้สมาร์ตโฟนติดต่อกันหลายชั่วโมง
  • ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายเริ่มมีการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
  • ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บบริเวณคอ
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เนื่องจากมีแรงกดทับที่กระดูกคอมากขึ้น

อาการของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมที่พบบ่อย

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดคอแบบเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณต้นคอและไหล่ อาจมีอาการชาร้าวลงไปตามแขนและมือ บางรายมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนและมือ ทำให้การทำกิจวัตรประจำวันลำบาก เช่น การหยิบจับสิ่งของ การเขียนหนังสือ หรือการใช้คอมพิวเตอร์

ระดับความรุนแรงของหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

ระดับความรุนแรงของหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

ระดับที่ 1: อาการเริ่มต้น

ในระยะแรก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ บ่า และไหล่ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน อาการปวดคอบ่าไหล่มักจะดีขึ้นเมื่อได้พักหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ในระยะนี้ยังไม่มีการกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง การรักษาสามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการทำกายภาพบำบัด ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระดับที่ 2: อาการปานกลาง

เมื่อมีการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวลงแขน ร่วมกับอาการชาและอ่อนแรงบริเวณต้นแขนหรือมือ อาการมักแย่ลงเมื่อเคลื่อนไหวคอ หรืออยู่ในท่าที่มีการกดทับเส้นประสาทมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาตามอาการของแต่ละคน

ระดับที่ 3: อาการรุนแรง

ในระดับนี้ หมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพจะกดทับไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ปวดเกร็งบริเวณลำตัว แขน และขา ส่งผลต่อการเดินที่ลำบากขึ้น ก้าวขาได้สั้นลง และมีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือ ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินจากแพทย์โดยด่วน เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดในบางกรณี

วิธีดูแลและป้องกันตัวเองไม่ให้หมอนรองกระดูกคอเสื่อม

วิธีดูแลและป้องกันตัวเองไม่ให้หมอนรองกระดูกคอเสื่อม

  • จัดท่าทางการนั่งทำงานให้ถูกต้อง โดยจัดความสูงของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • หลีกเลี่ยงการก้มคอใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • พักการใช้งานคอทุก 1-2 ชั่วโมง ด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอและไหล่ ประมาณ 5-10 นาที
  • ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและหลัง
  • นอนหนุนหมอนที่มีความสูงเหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ควรเลือกหมอนที่มีความสูงประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อให้กระดูกคอและสันหลังอยู่ในแนวตรง

สรุป ป้องกันภาวะหมอนรองกระดูกคอเสื่อม เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตในยุคนี้ ทำให้เราเสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกคอเสื่อมได้ง่ายและเร็วขึ้น หากคุณมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ หรือมีอาการผิดปกติตามที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ควรละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ คลินิกกายภาพบำบัดของเรามีทีมนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ พร้อมให้การรักษาด้วยเครื่องช็อคเวฟที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมกายภาพบำบัดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :

12/02/68 เวลา 20:58 น.