
จริงๆแล้วอาการออฟฟิศซินโดรมมีอุปกรณ์มากมายที่สามารถช่วยในการจัดการ และป้องกันอาการที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมาก โดยเครื่องมือ และอุปกรณ์เหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ ลดความรู้สึกไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต่างๆ และส่งเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการทำงานที่สำนักงาน หรือสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต้องทำงานเป็นประจำทุกๆวัน
Table of Contents
Toggleออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คืออะไร
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ไม่ได้ถือว่าเป็นโรค แต่หมายถึงกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับท่านั่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มักเกิดขึ้นจากการทำงานในสำนักงานหรือสภาพแวดล้อมที่ต้องนั่งนาน ๆ และมีการทำงานที่นานเป็นเวลา อาการเหล่านี้มักเกิดจากการนั่งนานๆ ในท่าทางที่ไม่ถูกต้องการทำงานที่เป็นรูปแบบซ้ำซาก และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่โรคเฉพาะเจาะจง แต่เป็นคำแทนที่ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่ออธิบายสัญญาณ และอาการที่บ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่มักเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานหรือที่ทำงานแบบนั่งนานๆ
อาการที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม
อาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อมือ ปวดหัวนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย ตาแห้ง และอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องนั่งนาน ๆ และมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่เป็นเวลานาน ๆ การรักษา และป้องกันออฟฟิศซินโดรมมักเน้นการปรับท่าทางที่ถูกต้อง การใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยปรับปรุงกายรศาสตร์ การส่งเสริมการออกกำลังกาย และการรักษาอื่น ๆ เพื่อลดความไม่สบายและป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในสำนักงานหรือสภาพแวดล้อมที่ต้องนั่งนาน
กลุ่มอายุใดที่มีอาการออฟฟิศซินโดรมมากกว่ากัน
ประมาณ 60% ถึง 70% ของพนักงานออฟฟิศที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 35 ปีดูเหมือนจะมีอาการมากที่สุดเกี่ยวกับอาการ ออฟฟิศซินโดรม เชื่อกันว่ากลุ่มนี้ใช้เวลาอยู่หลังโต๊ะมากที่สุด ส่วนกลุ่มอายุที่มากกว่า 55 ปีก็ได้รับผลกระทบจากภาวะนี้เช่นกัน แต่จะเริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อ และข้อต่อแล้ว
เพศกับโรคออฟฟิศซินโดรมมีความสัมพันธ์กันหรือไม่?
คำตอบคือไม่ เพราะไม่ว่าจะทั้งชาย และหญิงสามารถเป็นออฟฟิศซินโดรมได้เหมือนกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยการนั่ง และจํานวนชั่วโมงที่นั่งทำงายบนโต๊ะทํางาน
หากคิดว่าคุณกําลังทุกข์ทรมานจากออฟฟิศซินโดรมควรปรึกษาแพทย๋ เพราะการปรึกษากับแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดเป็นสิ่งสำคัญหากคุณมีอาการรุนแรง หรือเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยการปรับเปลี่ยนท่าทาง และการดูแลเองได้
เช็กลิสต์… อาการทั่วไปที่พบได้ในออฟฟิศซินโดรม
✅ ปวดหัว
✅ ปวดหลัง
✅ ปวด และตึงบริเวณไหล่
✅ ปวดรอบดวงตา
✅ ปวดคอ บ่า ไหล่
✅ เวียนหัว
✅ รู้สึกชาบริเวณข้อมือ นิ้วมือ
อุปกรณ์ช่วยชีวิต สำหรับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
1.ใช้ กฎ 20-20-20
พนักงานออฟฟิศควรปฏิบัติตามกฎ 20-20-20 เพื่อป้องกันอาการปวดตา ปวดหัว และการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน กฎ 20-20-20 คือการที่ ทุกๆ 20 นาที หยุดพัก 20 วินาที เพื่อดูสิ่งที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต พนักงานออฟฟิศสามารถพักผ่อน และปกป้องดวงตาจากความเครียดได้
2.เก้าอี้สำนักงานตามหลักสรีรศาสตร์
ลงทุนซื้อเก้าอี้ที่เหมาะกับสรีระพร้อมฟีเจอร์ที่ปรับได้ เช่น ส่วนรองรับบั้นเอว ที่วางแขน และความสูงของเบาะนั่ง การนั่งที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของอาการปวดหลัง และคอได้อย่างมาก
3.แป้นพิมพ์ และเมาส์ตามหลักสรีรศาสตร์
หาแป้นพิมพ์ และเมาส์ตามหลักสรีรศาสตร์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความตึงเครียดที่ข้อมือ และมือ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันโรค carpal tunnel และการบาดเจ็บจากความเครียดซ้ำๆจากการพิมพ์งาน หรือใช้เมาส์
4.ออกกําลังกาย 15-20 นาที
สามารถทําได้ทุกๆ 2 ชั่วโมง เช่นเดินไปรอบ ๆ ห้องประมาณ 10-15 นาที แต่ถ้าเป็นไปได้ ให้เดินเล่นกลางแจ้งสั้นๆ ทําท่าบริหารยืดหลัง แขน ไหล่ คอ และข้อมือ
แนะนำท่ายืดเส้น ยืดสาย แก้อาการออฟฟิศซินโดรมที่ทำได้ง่ายๆ
การทำท่ายืดเส้น ยืดสาย (stretching exercises) อาจช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรม และบรรเทากล้ามเนื้อตึงเครียดได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้พื้อนที่เยอะ ลองมาดูกันดีกว่ามามีท่าไหนบ้างที่ช่วยเบาเทาอาการออฟฟิศซินโดรม
1.ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ (Neck Stretch)
ยืดคอไปด้านซ้าย และด้านขวา เป็นเวลา 15-30 วินาทีในแต่ละข้าง
2.ท่ายืดไหล่ (Shoulder Stretch)
ยืดมือขวาไปทางด้านซ้ายจากนั้นใช้แขนขวาพับค้างไว้ เป็นเวลา 15-30 วินาทีเมื่อครบแล้วทำซ้ำโดยสลับข้าง
3.ท่ายืดหลัง (Back Stretch)
ยกแขนขวาขึ้น พับข้อศอกลงให้มือแตะบริเวณที่ไหล่ซ้าย จากนั้นใช้มือซ้ายจับข้อศอกขวา ค้างไว้ 10-15 วินาที ครบแล้วให้สลับข้าง
4.ท่ายืดข้อมือ และนิ้วมือ (Wrist and Finger Stretch)
กดนิ้วมือไปด้านหลังเบาๆ ค้างไว้เป็นเวลา 15-30 วินาทีในแต่ละด้าน
5.ท่ายืดลำตัว (Torso Stretch)
วางมือไว้ด้านหลังศีรษะโดยให้ข้อศอกออกไปด้านข้าง งอที่เอว หันศีรษะไปข้างหน้า ค้างไว้ 15-30 วินาที ทําซ้ำในอีกด้านหนึ่ง
6.ท่ายืดสะโพก (Seated March)
ยกเข่าข้างหนึ่งให้สูงที่สุดเท่าที่จะทําได้กลับสู่ตําแหน่งเริ่มต้น ทําซ้ำในอีกด้านหนึ่งสามารถทำได้ 12 ถึง 16 ครั้ง
ท่ายืดเส้นนี้สามารถทำได้ระหว่างช่วงพักการทำงานหรือในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าร่างกายของคุณต้องการการผ่อนคลาย และยืดเส้น ถ้าหากมีอาการปวดที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อการประเมิน และการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรทำอย่างไรดี?
สามารถมาที่ The Commons Clinic คลินิกกายภาพบำบัด และเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ตรวจ และรักษาทางกายภาพบำบัดครบวงจร ดูแลโดยทีมแพทย์ และนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ พร้อมเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ทันสมัย เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shock Wave)และเครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า PMS ไม่ว่าคุณจะมีอาการออฟฟิศซินโดรม ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ปวดข้อต่อ มีอาการชาที่ปลายนิ้วมือ แขนขาอ่อนแรง ข้อเข่าเสื่อม หรือได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย ก็สามารถให้เราดูแลได้! เราพร้อมทำการรักษาที่ต้นเหตุด้วยเทคโนโลยีกายภาพบำบัดสมัยใหม่ พร้อมแนะนำท่าบริหารเฉพาะปัญหาของแต่ละบุคคล รับรองว่าอาการปวดดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน
หากคุณไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญอยู่กับ อาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) อยู่หรือไม่ อย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนัก สามารถนัดหมาย หรือเข้ามาปรึกษาแพทย์ ได้ที่ thecommonsclinic.com ได้เลย
The Commons Clinic เรามีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญาให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง Shock Wave หรือ เครื่อง PMS มีการตรวจประเมินร่างกายและวางแผนรักษาเฉพาะบุคคลก่อนทุกครั้ง มั่นใจได้เลยว่า จะช่วยให้อาการปวดของคุณดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :
ที่ตั้ง : 388 ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 (https://goo.gl/maps/sbT1J8wUKgy4mQPF8)
เวลาทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 น. – 19.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 094-694-9563
Line OA : @thecommonsclinic
Facebook : The Commons Clinic – คลินิกเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กายภาพบำบัด
ขอบคุณข้อมูลจาก : drbenmedical