ปวดหลังทำไงดี? รู้จักอาการปวดหลังแต่ละส่วน ทั้งสาเหตุและวิธีรักษา
อาการปวดหลัง เป็นสิ่งที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็น เด็ก หรือวัยรุ่นที่เล่นกีฬาอย่างหนัก วัยทำงานที่ต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือวัยสูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการที่มีอวัยวะ หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายบริเวณหลัง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลัง ข้อกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ได้รับบาดเจ็บ เสื่อม อักเสบ หรือเกิดภาวะเคล็ดขัดยอก จนทำให้เกิดอาการปวดตามมา
สำหรับใครที่มีอาการปวดที่บริเวณหลังบ่อย ๆ แล้วสงสัยว่า อาการปวดที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร หรือกำลังมองหาวิธีรักษาอยู่ ในบทความนี้ The Commons Clinic จะพาคุณไปรู้จักกับอาการปวดหลังแต่ละส่วน พร้อมวิธีรับมือเอง
สาเหตุของอาการปวดหลังแต่ละส่วน
อาการปวดหลังที่พบได้บ่อย ๆ จะแบ่งเป็น 5 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา ซึ่งแต่ละส่วนจะมีสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. อาการปวดหลังส่วนบน
ปวดหลังส่วนบน เป็นอาการปวดที่พบได้บ่อยมาก เพราะมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบทำกัน นอกจากนี้คนที่สะพายกระเป๋าที่มีน้ำหนักมากเกินไปบ่อย ๆ ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดได้เช่นกัน
2. อาการปวดหลังส่วนกลาง
อาการปวดบริเวณหลังส่วนกลาง อาจเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
- ก้มยกของหนักผิดท่า : อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังและทำให้เกิดอาการปวดได้ แนะนำให้ในขณะที่ยกของหนัก ให้ย่อตัวลง แล้วค่อย ๆ ยกของขึ้น โดยที่แผ่นหลังอยู่ในลักษณะตรง ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บได้
- นอนบนเตียงที่นุ่ม หรือแข็งจนเกินไป : ทำให้ไม่สามารถรองรองรับแผ่นหลังได้ดีเท่าที่ควร เพื่อป้องกันการเกิดอาการดังกล่าว แนะนำให้เลือกใช้ที่นอนและหมอนที่เข้ากับสรีระร่างกาย ถูกต้องตามหลัก การยศาสตร์ (Ergonomics) จะดีที่ที่สุด
3. อาการปวดหลังส่วนล่าง
ปวดหลังส่วนล่าง เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดในวัยทำงานและวัยสูงอายุเลย เพราะมีสาเหตุมาจากการมีพฤติกรรมนั่ง หรือยืนในท่าเดิมนาน ๆ โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนท่า ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่างเกิดการตึงเกร็งบ่อย ๆ จนทำให้เกิดอาการอักเสบ และอาการปวดตามมาได้ในที่สุด
นอกจากนี้อาการปวดที่บริเวณหลังส่วนล่างยังสามารถเกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปด้วย ซึ่งส่งผลให้กระดูก สันหลังและกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่างต้องพยุงน้ำหนักมากกว่าปกติ และเกิดอาการอ่อนล้าเรื้อรัง จนทำให้เกิดอาการปวดได้นั่นเอง
4. อาการปวดหลังด้านซ้าย
อาการปวดหลังด้านซ้าย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- อาการปวดจากการได้รับบาดเจ็บที่เส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวด้านซ้ายจากสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยกของหนัก การเอี้ยวตัวมากเกินไป การได้รับอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬา
- อาการปวดจากการที่มีไข้ ไม่สบาย และไอเรื้อรัง
- อาการปวดจากการขยับร่างกายผิดจังหวะ จนทำให้เกิดการอาการเคล็ดขัดยอก เป็นต้น
- อาการปวดที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น
- ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์
- เป็นโรคอ้วน มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
- การนั่งทำงาน หรือทำกิจกรรมที่ไม่ถูกสรีระหรือมีท่าทางที่ไม่เหมาะสม
5. อาการปวดหลังด้านขวา
อาการปวดหลังด้านขวาจะมีสาเหตุคล้าย ๆ กับอาการปวดที่บริเวณหลังด้านซ้าย แต่จะเกิดขึ้นกับกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่บริเวณลำตัวข้างขวาแทน
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับอาการปวดหลัง?
หากอาการปวดหลังเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง นอนพัก หรือไปนวดผ่อนคลายก็หายดี ก็คงไม่น่ากังวลเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการปวดที่บริเวณหลังเป็นประจำ หรือมีอาการปวดมาก นั่นอาจไม่ใช่อาการปวดธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างในร่างกายได้ก็ได้ เช่น
- อาการปวดที่บริเวณหลังเรื้อรัง : มักมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอาการโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งจำเป็นที่จะต้องรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะอาการปวดสามารถพัฒนาระดับความรุนแรงจนส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
- ปวดหลัง ปวดเอว ร่วมกับปวดร้าวลงไปถึงขา น่อง หรือเท้า : อาจเป็นสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจำเป็นที่จะต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดได้
- อาการปวดบริเวณหลังร่วมกับหายใจไม่ค่อยสะดวก : อาจมีความสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ หรือร้ายแรงถึงขั้นปอดอักเสบ หรือปอดติดเชื้อได้
- อาการปวดหลังเหนือเอว : อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคไต การเกิดนิ่วในถุงน้ำดี หรือติดเชื้อที่บริเวณทางเดินปัสสาวะได้
ทําไมผู้หญิงถึงมีอาการปวดหลังบ่อย ๆ ตอนเป็นประจําเดือน?
ผู้หญิงหลายคนอาจมีอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง หรือปวดหลังล่างในช่วงที่มีประจำเดือนได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- ในขณะที่มีประจำเดือน มดลูกจะเกิดการบีบรัดจนไปกดทับเส้นเลือดบริเวณข้างเคียง ทำให้ไม่มีเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงตามกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว และทำให้เกิดอาการปวด
- มีก้อนเนื้องอกย้อยไปทางด้านหลังของมดลูกจนทำให้ไปกดเบียดอวัยวะด้านหลัง
หากสาว ๆ มีอาการปวดหลังบ่อย ๆ ไปนวด หรือทำกายภาพบำบัดแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอีกครั้ง เพราะอาจเกิดจากโรคทางนรีเวชเหล่านี้ได้
ปวดหลังทำไงดี? แนะวิธีแก้ปวดหลังเบื้องต้นทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง
วิธีแก้ปวดหลังให้อาการดีขึ้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเริ่มต้นจากการหันกลับมาดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักตัวได้ดีขึ้น
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม โต๊ะกับเก้าอี้ที่ใช้ทำงานความมีระดับความสูงที่เหมาะสม ไม่ต้องก้ม หรือเงยหน้าทำงาน และเก้าอี้ควรรองรับสรีร่างกายได้เป็นอย่างดี
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น นั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น ไม่นั่งไขว่ห้าง เวลายืน ให้ยืนขากว้างเท่ากับสะโพก หรือเวลานอน ควรนอนหงายบนเตียงสบาย ๆ เพื่อให้กระดูกสันหลังเรียงตัวได้ดี ไม่คดโค้ง เป็นต้น
- หลังจากทำงาน หรือออกกำลังกายแล้ว ควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ เพื่อลดการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ และช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น
- หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อ สามารถประคบร้อน หรือแช่น้ำอุ่น เพื่อบรรเทาอาการได้
- หากมีอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หรือบวม สามารถประคบเย็น เพื่อบรรเทาอาการได้
อาการปวดหลังแบบไหนที่อันตราย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามวิธีแก้ปวดหลังที่เราแนะนำไป แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดบริเวณหลังเรื้อรังนานกว่า 4 สัปดาห์ขึ้นไป แนะนำให้พบนักกายภาพบำบัด หรือแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูอย่างเหมาะสมจะดีกว่า ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะยิ่งทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นได้
นอกจากนี้ หากคุณมีอาการปวดบริเวณหลังร่วมกับอาการเหล่านี้ ก็ควรรีบไปพบแพทย์เช่นกัน ได้แก่
- ปวดหลังมากจนนอนไม่ได้
- มีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง
- มีอาการอ่อนแรง แขนขาชา หรือไม่สามารถขยับร่างกายได้เหมือนปกติร่วมด้วย
- มีอาการปวดร้าวลงขาร่วมด้วย
- มีอาการจุกที่กลางอกร่วมด้วย
- มีอาการหายใจไม่สะดวก หายใจไม่ลึก หรือมีไข้ร่วมด้วย
อาการปวดหลัง มีวิธีรักษาอย่างไร?
แนวทางการรักษาอาการปวดหลังนั้น จะขึ้นอยู่กับสาเหตุ และระดับความรุนแรงของอาการปวดของแต่ละคน เช่น
- หากมีอาการปวดระดับปานกลาง แพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดต่าง ๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด และช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
- หากมีอาการปวดมาก แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์ผสมกับยาชาบริเวณที่มีการอักเสบ หรือเส้นประสาทมีการกดทับเกิดขึ้น เพื่อบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำกายภาพบำบัด
- หากการใช้ยา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และทำกายภาพบำบัดไม่ได้ผล หรืออาการไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แพทย์ก็จะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเป็นวิธีสุดท้าย
The Commons Clinic พร้อมรักษาอาการปวดหลัง โดยทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญา
The Commons Clinic คลินิกเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กายภาพบำบัด ที่ดูแลโดยทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัด พร้อมช่วยให้อาการปวดหลังของคุณได้รับการรักษาอย่างตรงจุดและดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องใช้ยา และไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการประเมินอาการและวางแผนการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเลือกใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่ทันสมัย เช่น เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า PMS หรือ เครื่องรักษาด้วยคลื่นกระแทก Shock Wave ในการรักษา มั่นใจได้เลยว่า อาการจะดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :
- ที่ตั้ง : 388 ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 (https://goo.gl/maps/sbT1J8wUKgy4mQPF8)
- เวลาทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30 น. – 19.00 น.
- เบอร์โทรศัพท์ : 094-694-9563
- Line OA : @thecommonsclinic
- Facebook : The Commons Clinic – คลินิกเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู และ กายภาพบำบัด