กระดูกพรุนเกิดจากอะไร ทำไมผู้สูงอายุถึงต้องเฝ้าระวังให้ดี

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คุณสามารถเฝ้าระวังโรคนี้ให้ดี เดอะคอมมอนส์คลินิก (The Commons Clinic) คลินิกกายภาพบำบัดที่ดูแลโดยนักกายภาพบำบัดปริญญา จะพาไปรู้จักกับโรคกระดูกพรุนอย่างละเอียดเอง ใครที่สงสัยว่ากระดูกพรุนเกิดจากสาเหตุใด หรือกำลังหาแนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุอยู่ ห้ามพลาดบทความนี้เลย!

โรคกระดูกพรุน คืออะไร?

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง ทำให้กระดูกบางลงและเปราะบาง ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่าย แม้จะได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในเพศหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศและทุกวัย

กระดูกพรุนเกิดจากสาเหตุใด?

กระดูกพรุนเกิดได้จากหลายสาเหตุ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. โรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ 

เป็นโรคกระดูกพรุนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) ที่ลดลง จะส่งให้การสร้างและการสลายกระดูกไม่สมดุลตามไปด้วย และผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

2. โรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ

เป็นโรคกระดูกพรุนที่เกิดจากโรคอื่นๆ หรือการใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการสลายมวลกระดูก เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคคุชชิ่ง (Cushing syndrome) โรคทางลำไส้ที่ดูดซึมอาหารไม่ดี หรือการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน 

นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น 

  • พันธุกรรม ผู้ที่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุน จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
  • การขาดแคลเซียมและวิตามินดี
  • การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • การดื่มกาแฟมากเกินไป
  • การรับประทานโซเดียมหรือเกลือมากเกินไป
  • น้ำหนักตัวน้อยเกินไป
  • การทำงานออฟฟิศที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายและไม่ได้รับแสงแดด

กระดูกพรุน อาการเป็นอย่างไร

กระดูกพรุน อาการเป็นอย่างไร?

อาการของโรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงออกชัดเจนในระยะแรก จึงเป็นที่มาของคำว่า “ภัยเงียบ” อย่างไรก็ตาม เมื่อโรคดำเนินไประยะหนึ่ง อาจสังเกตเห็นอาการต่างๆ ได้ดังนี้

  • ส่วนสูงลดลงอย่างช้าๆ (มากกว่า 4 เซนติเมตรเมื่อเทียบกับตอนเป็นหนุ่มสาว)
  • หลังค่อม หลังโก่ง
  • ปวดหลังเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง
  • กระดูกหักง่ายแม้ได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย เช่น การล้มจากท่ายืน
  • ปวดกระดูกลึกๆ โดยเฉพาะที่กระดูกหลังและขา

จะเห็นได้ว่า โรคกระดูกพรุนจะไม่แสดงอาการในระยะแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว แนะนำให้เข้ารับการประเมินความเสี่ยงและการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone Mineral Density: BMD) เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมก็จะดีที่สุด

ทำไมผู้สูงอายุถึงควรเฝ้าระวังโรคกระดูกพรุนให้ดี

สาเหตุที่ผู้สูงอายุควรเฝ้าระวังโรคกระพรุนให้ดี มีดังนี้

  • ความเสี่ยงสูงขึ้นตามอายุ : เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี ร่างกายจะสูญเสียมวลกระดูกเร็วขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนมากขึ้น
  • ผลกระทบรุนแรง : โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น กระดูกหักง่าย โดยเฉพาะกระดูกสะโพก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้
  • คุณภาพชีวิตลดลง : ผู้สูงอายุที่เป็นโรคกระดูกพรุนอาจมีความเจ็บปวด จำกัดการเคลื่อนไหว และพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม
  • การป้องกันทำได้ง่ายกว่าการรักษา : การเฝ้าระวังและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคได้มากกว่าการรักษาเมื่อเกิดอาการแล้ว
  • อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่นๆ : เช่น ภาวะขาดสารอาหาร หรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ การเฝ้าระวังจึงช่วยให้ตรวจพบและรักษาปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้เร็วขึ้น

เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์

ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงและตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกในกรณีต่อไปนี้

  • ผู้หญิงที่อยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือนหรือหมดประจำเดือนแล้ว
  • ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักง่าย
  • เคยมีประวัติกระดูกหักจากอุบัติเหตุเล็กน้อย
  • สังเกตเห็นว่าส่วนสูงลดลงมากกว่า 4 เซนติเมตรเมื่อเทียบกับตอนเป็นหนุ่มสาว
  • มีอาการปวดหลังเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาที่อาจส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูก เช่น โรคไทรอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  • มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือขาดการออกกำลังกาย

การพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถวางแผนการป้องกันและรักษาได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในอนาคตได้

การรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

การรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

การรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะประกอบด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้:

1. รักษาโรคกระดูกพรุนด้วยการทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการหกล้มและกระดูกหัก 

วิธีการทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน

  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ : นักกายภาพบำบัดจะแนะนำท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การยกน้ำหนัก หรือการใช้ยางยืด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ กระดูก
  • ฝึกการทรงตัว : เพื่อลดความเสี่ยงในการหกล้ม นักกายภาพบำบัดจะสอนวิธีการทรงตัวที่ดี และฝึกการเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง
  • ฝึกท่าทางที่ถูกต้อง : เพื่อลดความเครียดที่กระดูกสันหลังและป้องกันการบาดเจ็บ
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน: ในกรณีที่จำเป็น นักกายภาพบำบัดจะแนะนำและสอนวิธีใช้อุปกรณ์ช่วยเดินอย่างถูกต้อง เช่น ไม้เท้า หรือวอล์คเกอร์

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย ลดอาการปวด และป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายในผู้สูงอายุจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าออกผิดวิธี อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงได้ เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือนักกายภาพบำบัดก่อน

2. รักษาโรคกระดูกพรุนโดยใช้ยา

การรักษาด้วยยาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการชะลอการสูญเสียมวลกระดูกและลดความเสี่ยงของกระดูกหัก โดยยาที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุนมีหลายประเภท ตัวอย่างเช่น

ยายับยั้งการสลายกระดูก (Antiresorptive medications)

  • Bisphosphonates เป็นยาที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นกระดูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกหักได้
  • Denosumab เป็นยาฉีดที่ช่วยยับยั้งการทำลายกระดูก โดยจะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญและพัฒนาการของเซลล์สลายกระดูก 

ยากระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents)

  • Teriparatide เป็นยาที่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนพาราไทรอยด์ของร่างกาย โดยจะเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ทำให้มวลกระดูกเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้กระดูกแข็งแรงตามไปด้วย

ยาที่ออกฤทธิ์ทั้งยับยั้งการสลายและกระตุ้นการสร้างกระดูก

  • Romosozumab เป็นยาใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มมวลกระดูก นิยมใช้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักมากๆ

ฮอร์โมนทดแทน

  • Estrogen Replacement Therapy (ERT) เป็นยาฮอร์โมนทดแทนสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพื่อป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนโดยเฉพาะ

ยาเสริมแคลเซียมและวิตามินดี

ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและเพิ่มประสิทธิภาพของยาอื่นๆ

การเลือกใช้ยารักษาโรคกระดูกพรุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรค อายุ เพศ และโรคประจำตัวอื่นๆ ของผู้เข้ารับการรักษา ไม่ควรซื้อยามารับประทานด้วยตนเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการใช้ยาผิดวิธี และเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้

3. รักษาโรคกระดูกพรุนด้วยการผ่าตัด

การผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคกระดูกพรุน เช่น กระดูกหัก โดยเฉพาะกระดูกสะโพกหัก ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็วเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น วิธีการผ่าตัดมีหลายแบบ เช่น

  • การยึดตรึงกระดูกด้วยโลหะ (Internal fixation) : แพทย์จะใช้แผ่นโลหะ, สกรู หรือแท่งโลหะยึดกระดูกที่หักให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
  • การเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (Hip replacement) : ในกรณีที่กระดูกสะโพกหัก หรือข้อสะโพกเสื่อมรุนแรง โดยแพทย์จะผ่าตัดเอาหัวกระดูกสะโพกที่เสียหายออก แล้วแทนที่ด้วยก้านโลหะ หรือเบ้าโลหะแทน ทำให้ผู้เข้ารับการรักษากลับมาเดิน หรือเคลื่อนไหวอีกครั้งได้
  • การเสริมความแข็งแรงของกระดูกสันหลัง : เช่น Vertebroplasty เป็นการฉีดซีเมนต์บริเวณกระดูกสันหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรง หรือ Kyphoplasty ที่ใช้บอลลูนถ่างขยายในบริเวณกระดูกสันหลังชิ้นที่พรุน เพื่อคงรูปร่างของกระดูกสันหลังที่หัก หรือยุบตัวไว้

วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

การป้องกันโรคกระดูกพรุนเป็นสิ่งสำคัญที่ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็กและทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต วิธีการป้องกันมีดังนี้:

  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ : แคลเซียมจะพบในนม, โยเกิร์ต, ชีส, ปลาเล็กปลาน้อย, ผักใบเขียว ส่วนวิตามินดีจะพบในปลาทะเล, ไข่แดง, เห็ด และการรับแสงแดดอย่างเหมาะสม
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : เน้นการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก เช่น เดินเร็ว, วิ่ง, เต้นแอโรบิก ฝึกการทรงตัวและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงโรคกระดูกพรุน : งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงลดการดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม : การที่เรามีน้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพกระดูกได้
  • ตรวจสุขภาพประจำปีและวัดความหนาแน่นของกระดูก :โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาป้องกันโรคกระดูกพรุน :ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
  • ระมัดระวังการหกล้ม : ควรจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย และใช้อุปกรณ์ช่วยเดินหากจำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น : หากต้องใช้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

สรุปบทความ

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพผู้สูงอายุ เกิดจากการสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าปกติ ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อายุที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ การป้องกันและรักษาทำได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และตรวจสุขภาพประจำปี ในรายที่เป็นโรคแล้ว อาจต้องใช้ยา ทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดในบางกรณี การตระหนักรู้และป้องกันแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

สำหรับผู้สูงอายุท่านใดที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง ข้อเข่าเสื่อม หรืออยากออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก สามารถนัดหมายเข้ามาตรวจสุขภาพร่างกาย ทำกายภาพบำบัด และวางโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสม ที่ The Commons Clinic ได้เลย เรามีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญาให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัย เช่น เครื่อง Shock Wave หรือ เครื่อง PMS มั่นใจเลยว่า จะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :

14/07/67 เวลา 00:11 น.