“ฝังเข็ม” ปรับสมดุลร่างกาย ช่วยแก้อาการปวดอย่างเห็นผล

นอกจากการนวดแผนไทยแล้ว อีกหนึ่งศาสตร์ที่คนนิยมทำกันเมื่อมีอาการปวดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายก็คือการฝังเข็ม ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่ามีเพียงการฝังเข็มแบบจีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีการฝังเข็มแบบตะวันตกด้วย ซึ่งมีประโยชน์ไม่แพ้กัน

สำหรับใครที่สนใจฝังเข็ม แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะช่วยแก้อาการปวดได้จริงไหม เดอะคอมมอนส์คลินิก (The Commons Clinic) จะพาคุณไปรู้จักกับการฝังเข็มอย่างละเอียดเอง จะน่าสนใจแค่ไหน ไปดูกันเลย!

ฝังเข็มคืออะไร?

การฝังเข็มเป็นแพทย์แผนทางเลือกแขนงหนึ่ง โดยจะฝังเข็มเข้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว และทำให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ กลับมาทำงานเป็นปกติ จึงส่งผลให้โรค หรืออาการเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้

ฝังเข็มมีกี่ประเภท

การฝังเข็มมีกี่ประเภท?

การฝังเข็มจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ การฝังเข็มแบบจีนและการฝังเข็มแบบตะวันตก มีรายละเอียดแตกต่างดังนี้

1. การฝังเข็มแบบจีน (Acupuncture)

การฝังเข็มแบบจีนเป็นศาสตร์หนึ่งในแพทย์แผนจีนที่มีประวัติมายาวนานกว่า 4,000 ปี โดยวิธีการรักษา แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กมากฝังไปตามจุดฝังเข็ม (输穴) ของร่างกาย ซึ่งเป็นตำแหน่งบนร่างกายที่เลือดและ ชี่ (气) หรือลมปราณ จากอวัยวะภายในไหลเวียนมาเพิ่มเติมและกระจายออก 

การฝังเข็มแบบจีนจะเข้าไปกระตุ้นจุดฝังเข็มให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ท่ีเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจุดฝังเข็มจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • จุดฝังเข็มในระบบ (经穴) : เป็นจุดในเส้นลมปราณในร่างกายของเรา มีทั้งหมด 670 จุด
  • จุดฝังเข็มนอกระบบ (奇穴) : หรือที่นิยมเรียกว่า “จุดพิเศษ” เป็นจุดนอกเส้นลมปราณที่มีชื่อและตำแหน่งบนร่างกายแน่นอน แต่ไม่ได้รับการจัดให้เป็นจุดในระบบ เป็นจุดที่แพทย์แผนจีนจะใช้ฝังเข็มในการรักษาโรคโดยเฉพาะ
  • จุดกดเจ็บ (阿是穴) : เป็นจุดที่ไม่มีชื่อและไม่มีตำแหน่งบนร่างกายที่แน่นอน เป็นจุดที่แพทย์แผนจีนจะหาและใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาอาการปวดต่าง ๆ

2. การฝังเข็มแบบตะวันตก (Dry Needling)

การฝังเข็มแบบตะวันตก จะเป็นการฝังเข็มเพื่อลดอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ โดยจะฝังเข็มลงไปในจุดที่ปวดเพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ  และจะมีข้อแตกต่างจากการฝังเข็มแบบจีนตรงที่จะไม่เน้นการฝังเข็มค้างไว้ ส่วนใหญ่จะฝังเข็มเพื่อคลายจุดที่ตึง หรือปวด แล้วดึงออกเลยเท่านั้น

ประโยชน์ของการฝังเข็ม

ประโยชน์ของการฝังเข็ม

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยอมรับโรค หรืออาการที่สามารถรักษาด้วยการฝังเข็มไว้ 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

1. รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลเป็นอย่างดี

ตัวอย่างโรค อาการ หรือสภาวะที่รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลเป็นอย่างดี เช่น

  • ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • โรคเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
  • อาการปวดถุงน้ำดี
  • ภาวะซึมเศร้า
  • ปวดท้องคลอดบุตร
  • ปวดเข่า ปวดหลังส่วนล่าง ปวดคอ ปวดต้นคอ ปวดศีรษะ ปวดข้อรูมาตอยด์
  • การอักเสบรอบหัวไหล่ 
  • อาการปวดหลังผ่าตัด ปวดนิ่ว ปวดประสาทไซแอติก
  • โรคหลอดเลือดในสมอง

2. รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลเป็นอย่างดี แต่ยังต้องพิสูจน์ต่อไป

ตัวอย่างโรค อาการ หรือสภาวะที่รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลเป็นอย่างดี แต่ยังต้องพิสูจน์ต่อไป เช่น

  • ปวดท้อง ปวดหู ปวดกระดูกสันหลังเฉียบพลัน อาการปวดจากโรคมะเร็ง
  • สิว
  • หอบหืด
  • โรคหัวใจ 
  • โรคเครียด
  • นิ่วในถุงน้ำดี
  • ไอกรน
  • คอเคล็ด
  • เข่าเสื่อม

3. รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลดีในบางบุคคล

ตัวอย่างโรค อาการ หรือสภาวะที่รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วให้ผลดีในบางบุคคล เช่น

  • ตาบอดสี
  • หูหนวก
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการบาดเจ็บจากกระดูกสันหลัง
  • การอุดตันของทางเดินหายใจขนาดเล็ก
  • เกลื้อน
  • โรคลำไส้แปรปรวน

4. รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วอาจให้ผลดี แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนปัจจุบัน

ตัวอย่างโรค อาการ หรือสภาวะที่รักษาด้วยการฝังเข็มแล้วอาจให้ผลดี แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนปัจจุบัน เช่น

  • อาการโคม่า
  • อาการชักในทารก
  • อาการท้องเสียในทารก หรือเด็กเล็ก
  • โรคไข้สมองอักเสบในเด็ก

ผู้ที่ไม่สามารถฝังเข็มได้ มีใครบ้าง?

ผู้ที่ไม่สามารถเข้ารับการฝังเข็มได้ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย มีดังนี้

  • ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งที่ยังไม่ได้รับการรักษา
  • ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดอย่างแน่นอน
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจ (Pacemaker) อยู่
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่ยังไม่ทราบการวินิจฉัยแน่นอน

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฝังเข็ม

การฝังเข็มไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด ใช้ระยะเวลาการรักษาไม่นาน จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ แค่เพียงรับประทานอาหารก่อนเข้ารับการฝังเข็มประมาณ 1-2 ชั่วโมง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่รัดแน่นเกินไป ก็สามารถเข้ารับการฝังเข็มได้แล้ว

การดูแลตัวเองหลังฝังเข็ม

ในกรณีที่เป็นการฝังเข็มแบบจีน หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว ควรนั่งพักประมาณ 20-30 นาที หรือตามที่แพทย์กำหนด ไม่ควรที่จะขยับเขยื้อนแขนขา หรือบริเวณที่ฝังเข็มจนครบเวลา และหลังจากที่แพทย์เอาเข็มออกแล้ว ก็ควรที่จะยืดกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม และออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาได้

ข้อควรระวังในการฝังเข็ม

ข้อควรระวังในการฝังเข็ม

เพื่อความปลอดภัยในการฝังเข็มจะต้องทำกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มโดยเฉพาะ สถานพยาบาลมีความน่าเชื่อถือ เข็มที่ใช้ฝังจะต้องเป็นเหล็กสเตนเลส ไม่เป็นสนิม ปลายเข็มไม่ตัด ไม่กลวง ไม่มีรู ได้รับการทำความสะอาดจนปลอดเชื้อ และบรรจุแผงจากโรงงานอย่างเรียบร้อย ที่สำคัญจะต้องใช้ครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสเอสไอวี (HIV)

ข้อดีของการฝังเข็มที่ The Commons Clinic 

  • ดูแลโดยนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญ
  • ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทำให้หายเจ็บ หายปวด หายเมื่อย และหายตึง
  • นักกายภาพบำบัดจะแนะนำท่ายืดยืดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในการดูแลตนเองต่อได้
  • นอกจากฝังเข็มแล้ว The Commons Clinic ยังมีเครื่องมือกายภาพทันสมัยครบครัน ทั้งเครื่อง Shock Wave เครื่อง PMS และการฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่า เพื่อการรักษาที่ครอบคลุมทุกอาการปวด

สนใจฝังเข็มที่ The Commons Clinic ทำอย่างไรดี?

สำหรับใครที่สนใจฝังเข็มแก้อาการปวดหลัง ปวดเข่า ปวดไหล่ หรือปวดบริเวณอื่น ๆ สามารถนัดหมายเข้ามาตรวจสุขภาพร่างกายและวางแผนการฝังเข็มและทำกายภาพบำบัดอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับคุณที่ The Commons Clinic ได้เลย เรามีทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดปริญญาให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมเครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง Shock Wave หรือ เครื่อง PMS มีการตรวจประเมินร่างกายและวางแผนรักษาเฉพาะบุคคลก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดแบบไหน เดอะคอมมอนส์คลินิกก็ช่วยคุณได้!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :

ขอบคุณข้อมูลจาก : WHO

16/06/67 เวลา 20:32 น.