รู้จัก 4 ยาแก้ปวดหลัง เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

อาการปวดหลังเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งนาน ๆ หลายคนเมื่อมีอาการปวดหลังมักเลือกที่จะซื้อยาแก้ปวดมารับประทานเอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ในบทความนี้ คลินิกกายภาพบำบัด เดอะคอมมอนส์คลินิก (The Commons Clinic) จะพาคุณไปรู้จักกับยาแก้ปวดหลังประเภทต่าง ๆ พร้อมวิธีการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัย ใครที่มีอาการปวดสะบักหลังเรื้อรัง ปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ห้ามพลาดบทความนี้เลย!

ปวดหลังรับประทานยาแก้ปวดได้ไหม

การรับประทานยาแก้ปวดหลังสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น เนื่องจากยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีความเหมาะสมกับอาการที่แตกต่างกัน และมีข้อควรระวังในการใช้ที่แตกต่างกัน การซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้ได้รับยาที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ยาเกินขนาด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

รับประทานยาแก้ปวดหลังต้องระวังอะไรบ้าง

การซื้อยาแก้ปวดหลังมารับประทานเองโดยไม่ผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ อาจทำให้ได้รับการรักษาที่ไม่ตรงกับสาเหตุของอาการปวด เพราะอาการปวดหลังอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือกระดูกสันหลังเสื่อม การใช้ยาผิดประเภทหรือเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง และอาจทำให้อาการปวดกลายเป็นเรื้อรังได้

แนะนำ 4 ยาแก้ปวดหลัง เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

แนะนำ 4 ยาแก้ปวดหลัง เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ยาแก้ปวดหลังแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ยาจึงต้องพิจารณาตามความรุนแรงของอาการและสาเหตุของอาการปวด ดังนี้

1. ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)

พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวดและลดไข้ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะสำหรับอาการปวดหลังเล็กน้อยถึงปานกลาง สามารถรับประทานได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการรับประทานยา
  • ผู้ที่มีโรคตับควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  • หากใช้เกินขนาดอาจทำให้ตับถูกทำลายได้

อาการแพ้ยา

  • ผื่นคัน
  • หายใจลำบาก
  • ปากและคอบวม

2. ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

เป็นยาที่ออกฤทธิ์ทั้งแก้ปวดและลดการอักเสบ เหมาะกับอาการปวดหลังที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาโพรเซน (Naproxen) หรือไดโคลฟีแนค (Diclofenac)

ข้อควรระวัง

  • ควรรับประทานหลังอาหารทันทีเพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะ
  • ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 7-14 วัน
  • ผู้ที่มีโรคไต โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

อาการแพ้ยา

  • ปวดท้อง ท้องอืด จุกเสียด
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • ผื่นคัน บวมตามร่างกาย
  • หอบเหนื่อย หายใจลำบาก

3. ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)

เป็นยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรง ใช้สำหรับอาการปวดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดทั่วไป ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น เช่น ทรามาดอล (Tramadol) หรือ โคเดอีน (Codeine)

ข้อควรระวัง

  • เป็นยาที่อาจทำให้เกิดการเสพติดได้
  • ไม่ควรขับรถหรือทำงานที่ต้องใช้เครื่องจักร
  • ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการใช้ยา
  • ห้ามหยุดยาทันที ต้องค่อย ๆ ลดขนาดยาลงตามคำแนะนำของแพทย์

อาการแพ้ยา

  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก
  • ง่วงซึม สับสน
  • หายใจช้าลง
  • คันตามร่างกาย

4. ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant)

เป็นยาที่ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ มักใช้ร่วมกับยาแก้ปวดในกรณีที่มีอาการปวดหลังร่วมกับกล้ามเนื้อเกร็งตัว

ข้อควรระวัง

  • อาจทำให้ง่วงนอน ไม่ควรขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร
  • ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการใช้ยา

อาการแพ้ยา

  • ปากแห้ง คอแห้ง
  • วิงเวียนศีรษะ
  • มึนงง สับสน
  • ผื่นคัน

ออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัด วิธีแก้อาการปวดหลังอย่างยั่งยืน

ออกกำลังกายและทำกายภาพบำบัด วิธีแก้อาการปวดหลังอย่างยั่งยืน

การรับประทานยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหลังได้อย่างยั่งยืน การทำกายภาพบำบัดร่วมกับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีจะช่วยแก้ไขที่สาเหตุของอาการปวด เช่น การใช้เครื่องช็อคเวฟ หรือเครื่อง PMS เพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ การนวดและยืดกล้ามเนื้อด้วยเทคนิคบำบัดด้วยมือ ร่วมกับการฝึกท่าทางที่ถูกต้องและการบริหารกล้ามเนื้อหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรง จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดกลับมาเป็นซ้ำ

สรุปบทความ

การใช้ยาแก้ปวดหลังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น เพราะยาแต่ละประเภทมีข้อบ่งใช้และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน การใช้ยาผิดประเภทหรือเกินขนาดอาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ การรักษาอาการปวดหลังที่ได้ผลดีที่สุดคือการรักษาที่สาเหตุ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการออกกำลังกายที่เหมาะสม

หากคุณมีอาการปวดหลัง The Commons Clinic พร้อมดูแลและให้การรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดที่ครบวงจร ทั้งการใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดที่ทันสมัยอย่างเครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) และเครื่อง PMS เทคนิคบำบัดด้วยมือ (Manual Technique) การฝังเข็ม และการแนะนำท่าออกกำลังกาย ท่าบริหารกล้ามเนื้อหลัง รวมถึงท่านอนแก้อาการปวดหลัง ที่เหมาะสม โดยทีมนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ มั่นใจได้เลยว่า จะช่วยให้อาการปวดหลังของคุณดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำอย่างแน่นอน!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้าใช้บริการ The Commons Clinic ได้ที่ :

2/11/67 เวลา 21:33 น.